วันอาทิตย์ที่ 18 กันยายน พ.ศ. 2559

iPhone 7


iPhone 7


แหล่งข่าวในประเทศจีนได้เปิดเผยผลการทดสอบประสิทธิภาพ iPhone 7 เรือธงรุ่นใหม่ล่าสุด ด้วยแอปพลิเคชันชื่อดังอย่าง AnTuTu Benchmark ซึ่งผลปราหฎว่าสามารถทำคะแนนได้สูงถึง 178,397 คะแนนเลยทีเดียว และขึ้นแท่นสมาร์ทโฟนที่ประมวลผลเร็วที่สุดในปี 2016 ซึ่งสามารถล้มแชมป์สมาร์ทโฟนทางฝั่งแอนดรอยด์ (ข้อมูลอัปเดตล่าสุดในเดือนสิงหาคม 2016) อย่าง OnePlus 3 ที่มาพร้อมชิปเซ็ตประมวลผล Qualcomm Snapdragon 820 ที่เคยคว้าผลทดสอบ 140,288 คะแนนได้อย่างขาดลอย 

เรียกได้ว่าผลคะแนนที่สูงสุดนี้เป็นผลมาจากการใช้งานชิปเซ็ต Apple A10 Fusion รุ่นใหม่ล่าสุด ที่ทาง Apple ระบุว่าสามารถประมวลผลได้เร็วกว่า iPhone 6 ถึง 2 เท่า และเร็วกว่า iPhone 6s ที่ใช้งานชิปเซ็ตรุ่นก่อนอย่าง Apple A9 ถึง 40% พร้อมหน่วยประมวลผลภาพกราฟิกที่พัฒนาให้ดีขึ้น และประมวลผลได้เร็วกว่าเดิมถึง 50%

iPhone 7 และ iPhone 7 Plus เจาะลึกฟีเจอร์กล้องที่มาพร้อมนวัตกรรมกล้องเลนส์คู่ และ Optical Zoom อีกระดับของการถ่ายภาพขั้นโปรเทียบชั้นกล้อง DSLR!


เรียกได้ว่า เพิ่งทำการเปิดตัวไปสดๆ ร้อนๆ เมื่อคืนที่ผ่าน สำหรับ iPhone 7 และ iPhone 7 Plus สมาร์ทโฟนเรือธงรุ่นใหม่ล่าสุดจากค่าย Apple ที่มาพร้อมการปรับเปลี่ยนดีไซน์ปุ่มโฮมแบบใหม่ที่รวมเข้ากับหน้าจอ และมีคุณสมบัติป้องกันน้ำ และป้องกันฝุ่นตามมาตรฐาน IP67 รวมถึงฟีเจอร์ที่ได้รับการอัปเกรดขึ้นจากรุ่นก่อนอย่างครบครัน ไม่ว่าจะเป็นการใช้งานชิปเซ็ต Apple A10, แบตเตอรี่ที่มีอายุการใช้งานที่ยาวนานยิ่งขึ้น และอีกหนึ่งฟีเจอร์ที่สำคัญอย่างกล้องดิจิทัล iSight แบบใหม่นั่นเอง


iPhone 7 กับกล้อง iSight แบบใหม่


iPhone 7 ใช้งานกล้องดิจิทัล iSight ความละเอียด 12 ล้านพิกเซล พร้อมด้วยโครงสร้าง 6 ชิ้นเลนส์, ไฟแฟลชแบบ Quad-LED ที่ให้ความสว่างมากขึ้นเป็นเท่าตัว และใช้งานเซ็นเซอร์รับภาพอัจฉริยะใหม่ล่าสุด ที่สามารถปรับรายละเอียดของภาพได้เร็วขึ้น 50% พร้อมรองรับระบบการป้องกันภาพสั่นไหวแบบ OIS (Optical Image Stabilization) และด้วยขนาดรูรับแสงกว้างสูงสุดที่ F/1.8 จึงทำให้สามารถถ่ายภาพในที่สภาวะแสงน้อยได้ดียิ่งขึ้นกว่าเดิม ซึ่งรองรับการถ่ายวิดีโอความละเอียดระดับ 4K UHD พร้อมระบบป้องกันการสั่นแบบ OIS สำหรับการถ่ายวิดีโอ สำหรับในส่วนของกล้องดิจิทัล FaceTime HD ที่ด้านหน้าของตัวเครื่อง มีความละเอียดมากขึ้นเป็นระดับ 7 ล้านพิกเซล พร้อมรูรับแสงขนาด f/2.2 และฟังก์ชัน Retina Flash

iPhone 7 Plus กล้องบนไอโฟนที่ดีที่สุด พร้อมฟีเจอร์เทียบชั้นกล้องโปร

iPhone 7 Plus ไอโฟนรุ่นท็อปได้รับการอัปเกรดฟีเจอร์การถ่ายภาพให้ดียิ่งขึ้นไปอีกขึ้น ด้วยกล้อง iSight แบบคู่ (Dual-Camera) ที่ใช้งานเลนส์รับภาพ 2 ชนิด ได้แก่ เลนส์มุมกว้าง (Wide-Angle : รูรับแสงขนาด f/1.8) และเลนส์ที่มีทางยาวโฟกัส 56 มิลลิเมตร สำหรับถ่ายภาพในระยะไกล (Telephoto : รูรับแสงขนาด f/2.8) พร้อมระบบการคำนวณค่าแสงตามสภาพจริง ที่จะช่วยให้ภาพมีสีสันที่สมจริงมากที่สุด ซึ่งรองรับการถ่ายวิดีโอความละเอียดระดับ 4K UHD พร้อมระบบป้องกันการสั่นแบบ OIS สำหรับการถ่ายวิดีโอ 
นอกจากนี้ยังรองรับระบบการซูมภาพด้วยเลนส์ 2 เท่า (2X Optical Zoom) ซึ่งช่วยให้ซูมได้โดยไม่สูญเสียรายละเอียดเช่นเดียวกับกล้องดิจิทัลแท้ๆ และระบบการซูมภาพแบบ Digital Zoom ได้สูงสุดถึง 10 เท่า รวมถึงสามารถซูมภาพได้สูงสุด 6 เท่าขณะทำการบันทึกวิดีโอด้วยเช่นกัน นอกจากนี้ iPhone 7 Plus ยังรองรับฟีเจอร์ DOF (Depth of Field) หรือความชัดลึกชัดตื้นของภาพ สำหรับการถ่ายภาพแบบหน้าชัดหลังเบลอ โดยถือเป็นฟีเจอร์สำคัญของกล้อง DSLR ที่ได้รับความนิยมมากในปัจจุบัน




เปิดตัว iPhone 7 ที่สุดแห่งสมาร์ทโฟนยอดนิยมโฉมใหม่ที่เร็วแรงกว่าเดิม! มาพร้อมชิปเซ็ต Quad-Core Apple A10, กล้อง iSight 12 ล้านพิกเซล F/1.8 และปุ่มโฮมแบบรวมกับหน้าจอ บนตัวเครื่องกันน้ำสีดำ Jet Black!




หลังจากที่มีข่าวหลุดข่าวลือกันมาเป็นระยะเวลานานพอสมควรสำหรับ iPhone 7 เรือธงรุ่นล่าสุดจากบริษัทยักษ์ใหญ่ระดับโลกอย่าง Apple ซึ่งไอโฟนนั้นก็ถือเป็นสมาร์ทโฟนรุ่นหนึ่งที่มีผู้ให้ความสนใจมากที่สุดในโลก ด้วยคุณสมบัติตัวเครื่อง, ดีไซน์ และจุดเด่นที่สุดก็คือระบบปฏิบัติการ iOS ที่มีความเสถียร และลื่นไหลในการใช้งาน ซึ่งล่าสุดผู้ใช้ทั่วโลกก็ไม่ต้องเฝ้ารอ หรือติดตามข่าวหลุดกันอีกต่อไป เพราะ iPhone 7 สมาร์ทโฟนยอดนิยมรุ่นใหม่ล่าสุดจาก Apple ได้เปิดตัวอย่างเป็นทางการแล้ว



สรุปคุณสมบัติตัวเครื่องเบื้องต้นของ iPhone 7
- ตัวเครื่องมีขนาด 138.3x67.1x7.1 มิลลิเมตร น้ำหนัก 138 กรัม
- หน้าจอแสดงผล  Retina HD IPS LCD ขนาด 4.7 นิ้ว พร้อมฟีเจอร์ Wide Color Gomut
- ชิปเซ็ตประมวลผล 64-bit Quad-Core Apple A10 Fusion
- กล้องดิจิทัล iSight แบบใหม่ ความละเอียด 12 ล้านพิกเซล พร้อมเซ็นเซอร์รับภาพอัจฉริยะใหม่ล่าสุด, ระบบป้องกันภาพสั่นไหว (OIS), ขนาดรูรับแสงกว้างสูงสุด F/1.8, ใช้โครงสร้าง 6 ชิ้นเลนส์ และไฟแฟลชสี่ดวง (Quad-LED)
- กล้องดิจิทัล FaceTime HD ด้านหน้า ความละเอียด 7 ล้านพิกเซล
- ปุ่มโฮมแบบใหม่ที่ใช้งานระบบ Taptic Engine และรองรับการใช้งาน Quick Actions
- ฟีเจอร์ป้องกันน้ำ-ป้องกันฝุ่นตามมาตรฐาน IP67
- ลำโพงคู่ บน-ล่าง แบบสเตอริโอ (Dual-Speaker)
- รองรับการเชื่อมต่อแบบ LTE ด้วยความเร็วสูงสุด 450Mbps
- แบตเตอรี่ใช้งานได้ยาวนานขึ้นกว่า
- สีสันตัวเครื่องสีใหม่ สีดำ Jet Black
- มาพร้อมกับระบบปฏิบัติการ iOS 10 เวอร์ชันใหม่ล่าสุด

iPhone 7 แตกต่างจาก iPhone 7 Plus อย่างไร?

จากการเปิดตัว iPhone 6, iPhone 6 Plus, iPhone 6s และ iPhone 6s Plus ที่ผ่านมา ผู้ใช้ส่วนใหญ่จะเข้าใจกันว่าไอโฟนรุ่นปกติ กับรุ่น Plus นั้นจะแตกต่างกันในส่วนของหน้าจอที่มีขนาด 4.7 นิ้ว และ 5.5 นิ้ว กับระบบป้องกันภาพสั่นไหว (OIS) ที่มีเฉพาะรุ่น Plus เท่านั้น แต่สำหรับ iPhone 7 และ iPhone 7 Plus ที่เปิดตัวในปีนี้กลับมีข้อแตกต่างที่เพิ่มขึ้น เพื่อสร้างช่องว่างระหว่างรุ่น ดังนี้
- iPhone 7 มีขนาดหน้าจอ 4.7 นิ้ว ส่วน iPhone 7 Plus มีหน้าจอขนาด 5.5 นิ้ว
- iPhone 7 ใช้งานกล้อง iSight แบบเดี่ยว ความละเอียด 12 ล้านพิกเซล แต่ iPhone 7 Plus ใช้งานกล้อง iSight แบบคู่ (Dual-Camera) ความละเอียด 12 ล้านพิกเซล พร้อมเลนส์รับภาพ 2 ชนิด คือ เลนส์รับภาพมุมกว้าง (Wide) ที่มีขนาดรูรับแสงกว้างสูงสุดที่ F/1.8 และเลนส์ถ่ายภาพระยะไกล (Telephoto) ที่มีขนาดรูรับแสงกว้างสูงสุดที่ F/2.8

สรุปฟีเจอร์เด่นของ iPhone 7
ชิปเซ็ตประมวลผล Apple A10 ที่เร็ว แรงกว่าเดิม

iPhone 7 เปิดตัวมาพร้อมกับชิปเซ็ตประมวลผล 64-bit Quad-Core Apple A10 Fusion ที่มีประสิทธิภาพเร็วแรงกว่า Apple A9 ถึง 40% พร้อมหน่วยประมวลผลภาพกราฟิกที่พัฒนาให้กีขึ้นกว่า Apple A9 และประมวลผลได้เร็วกว่าเดิมถึง 50%

ดีไซน์ตัวเครื่องแบบใหม่ พร้อมสีใหม่ สีดำ (Black)

เรียกได้ว่าตรงตามข่าวลือจริงๆ เพราะ iPhone 7 เปิดตัวมาพร้อมกับสีสันตัวเครื่องใหม่ล่าสุด นั่นก็คือ สีดำ Jet Black ตามข้อมูลที่หลุดออกมาก่อนหน้านี้

ปุ่มโฮมแบบใหม่ที่รวมเข้ากับหน้าจอ และใช้งานแบบสัมผัสด้วย Taptic Engine

การกดด้วยน้ำหนักที่แตกต่างกัน หรือจำนวนครั้งในการแตะ จะพาผู้ใช้เข้าสู่เมนูการใช้งานแต่ละฟังก์ชันแบบ Quick Actions เช่น แตะปุ่มโฮมสองครั้งเพื่อเข้าแอปพลิเคชัน Messege เป็นต้น

ฟีเจอร์ป้องกันน้ำ-ป้องกันฝุ่นตามมาตรฐาน IP67

หลังจากที่ปล่อยให้มือถือค่ายอื่นได้โชว์ประสิทธิภาพตัวเครื่องที่กันน้ำได้กันไปหลายรุ่นแล้ว ครั้งนี้ Apple ก็ได้พัฒนาฟีเจอร์ป้องกันน้ำป้องกันฝุ่นมาไว้ใน iPhone 7 ด้วยเช่นกัน โดย iPhone 7 และ iPhone 7 Plus มาพร้อมการป้องกันน้ำ และป้องกันฝุ่นมาตรฐาน IP67 ซึ่งสามารถป้องกันฝุ่นได้อย่างเต็มรูปแบบ และสามารถกันน้ำกระเซ็น รวมถึงสามารถกันน้ำได้ที่ระดับความลึกไม่เกิน 1 เมตร เป็นระยะเวลาต่อเนื่องไม่เกิน 30 นาที แต่ผู้ใช้ควรหลีกเลี่ยงน้ำประเภทอื่นๆ ที่ไม่ใช่น้ำสะอาด อย่างเช่น น้ำทะเล, น้ำเกลือ, น้ำที่มีฤทธิ์เป็นกรด, น้ำสกปรก หรือน้ำที่มีสารเคมีเจือปน 

กล้อง iSight แบบใหม่ ความละเอียด 12 ล้านพิกเซล

กล้องถ่ายภาพของ iPhone 7 ดูจะเป็นไฮไลต์ และเป็นจุดเด่นมากที่สุด เพราะใช้งานเซ็นเซอร์รับภาพอัจฉริยะใหม่ล่าสุด, ระบบป้องกันภาพสั่นไหว (OIS), ขนาดรูรับแสงกว้างสูงสุด F/1.8, ใช้โครงสร้าง 6 ชิ้นเลนส์ และไฟแฟลชสี่ดวง (Quad-LED) ซึ่งสามารถถ่ายในที่แสงน้อยได้ดีกว่าเดิม และมีระบบคำนวณค่าแสงตามสภาพจริง ที่ช่วยให้ภาพถ่ายมีสีสันของภาพที่เที่ยงตรง และใกล้เคียงความเป็นจริงมากที่สุด

แบตเตอรี่ที่ใช้งานได้ยาวนานยิ่งขึ้น

iPhone 7 ได้รับการพัฒนาแบตเตอรี่ให้ใช้งานได้ยาวนานกว่า iPhone 6s ประมาณ 2 ชั่วโมง

หูฟัง AirPods ไร้สายแบบใหม่



หูฟังที่แถมมากับตัวเครื่อง iPhone 7 นั้นจะเป็นหูฟังแบบมีสายที่ต้องเชื่อมต่อผ่าน Lightning Port แต่ Apple ก็ได้เปิดตัวหูฟังไร้สาย Apple AirPods ซึ่งคาดว่าน่าจะต้องซื้อแยกจากตัวเครื่องต่างหาก และยังไม่ทราบราคาในขณะนี้

ที่มา  http://www.thaimobilecenter.com

วันเสาร์ที่ 17 กันยายน พ.ศ. 2559

นาฬิกา ของ นักวิ่ง

APPLE จับมือ NIKE เปิดตัว APPLE WATCH SERIES 2 รุ่นพิเศษ APPLE WATCH NIKE+ เอาใจนักวิ่ง

Appleและ Nike เปิดตัว Apple Watch® Nike+ ซึ่งเป็นผลงานล่าสุดของความร่วมมือที่มีมาอย่างยาวนาน Apple Watch Nike+ เป็นเครื่องมือชั้นยอดสำหรับใครก็ตามที่ชื่นชอบการวิ่ง โดยเป็นการจับคู่ของ Nike Sport Band รุ่นพิเศษกับ Apple Watch Series 2 ซึ่งมี GPS, จอภาพที่สว่างขึ้นเป็นสองเท่า, กันน้ำได้ถึงระดับ 50 เมตร*, หน่วยประมวลผลแบบ Dual Core ที่ทรงพลังและ watchOS® 3 Apple Watch Nike+ ยังมีคำสั่งพิเศษสำหรับ Siri® และหน้าปัด Nike Watch ที่เป็นเอกลักษณ์ พร้อมด้วยการผนวกรวมกับแอพ Nike+ Run Club ใหม่เพื่อเป็นแรงกระตุ้นในการวิ่งที่ไม่มีใครเทียบเคียงได้, แผนการฝึกที่ปรับให้เข้ากับตารางและความคืบหน้าของคุณ และคำแนะนำจากผู้ฝึกและนักกีฬาระดับโลกที่ดีที่สุด Apple Watch Nike+ คือเพื่อนคู่หูที่ดีเลิศสำหรับผู้ที่หลงใหลในการวิ่ง ไม่ว่าผู้นั้นจะเป็นนักวิ่งหน้าใหม่หรือนักวิ่งมาราธอนที่ช่ำชอง





Apple Watch เป็นอุปกรณ์ที่ดีเลิศสำหรับการใช้ชีวิตเพื่อสุขภาพที่ดี และเราต้องการผลักดันให้ก้าวไปอีกขั้นโดยการสร้างนาฬิกาอัจฉริยะที่ดีที่สุดในโลกสำหรับนักวิ่งและนักกีฬา” Jeff Williams ประธานฝ่ายปฏิบัติการของ Apple กล่าว “Apple Watch Nike+ นำการติดตามประสิทธิภาพพัฒนาไปอีกขั้น และเราแทบจะรอไม่ไหวที่จะเปิดตัวกับชุมชนนักวิ่งที่ใหญ่ที่สุดใน


“เรารู้จักนักวิ่ง และเราทราบดีว่านักวิ่งหลายคนกำลังมองหาอุปกรณ์ที่ใช้งานง่าย ใช้สนุกเพื่อเริ่มต้นการวิ่ง” Trevor Edwards ประธาน Nike Brand กล่าว “ในตลาดเต็มไปด้วยอุปกรณ์ที่ซับซ้อนและอ่านได้ยาก ซึ่งมุ่งเน้นที่ข้อมูลของคุณ แต่อุปกรณ์นี้จะมุ่งเน้นที่ชีวิตของคุณ และเป็นอุปกรณ์ที่ทรงพลังพร้อมด้วยโซลูชันที่ใช้งานง่าย จึงเป็นพาร์ทเนอร์ในการวิ่งที่สมบูรณ์แบบของคุณ”
คุณสมบัติ
Apple Watch Nike+ ซึ่งเหมือนกับ Apple Watch Series 2 รุ่นอื่นๆ จะมี GPS ที่ติดตั้งในตัวเพื่อติดตามจังหวะการวิ่ง ระยะทาง และเส้นทาง ดังนั้นผู้ใช้จึงสามารถวิ่งได้โดยไม่ต้องพก iPhone® ด้วยจอภาพที่สว่างที่สุดเท่าที่ Apple เคยสร้างมา จึงอ่านเมตริกได้ง่าย แม้ว่าจะอยู่กลางแดดจ้า และถ้าผู้ใช้ตัดสินใจจะลงแช่ตัวในสระหลังจากที่วิ่งเสร็จ Apple Watch Nike+ ก็กันน้ำได้ถึงระดับ 50 เมตรสำหรับการว่ายน้ำ

Nike Sport Band ผลิตจาก fluoroelastomer ที่แข็งแรงและยืดหยุ่นแบบเดียวกันกับ Apple Watch Sport™ Band ต้นฉบับ แต่ในตอนนี้จะมีการเจาะรูเพื่อการระบายอากาศและการจัดการเหงื่อที่ดีขึ้น สายนาฬิกาที่มีน้ำหนักเบามีให้เลือก 4 สีสดใสในแบบทูโทนซึ่งเป็นเอกลักษณ์ของคอลเลคชั่น Apple Watch Nike+ มีหน้าปัดนาฬิกาพิเศษสองแบบที่ได้รับแรงบันดาลใจจาก สไตล์ที่เป็นเอกลักษณ์ของ Nike สามารถปรับแต่งได้ตามใจ มาพร้อมด้วยแอพที่มีประโยชน์ เช่น Activity Rings, Heart Rate, Stopwatch และ Weather ซึ่งช่วยให้นักวิ่งได้รับข้อมูลอย่างรวดเร็ว



Nike+ Run Club
Apple Watch Nike+ ใช้ประโยชน์จากความสามารถเฉพาะของ Apple Watch Series 2 และแอพ Nike+ Run Club เพื่อเป็นพาร์ทเนอร์ในการวิ่งที่สมบูรณ์แบบบนข้อมือของคุณ การทำงานของแอพถูกพัฒนาให้เข้ากับ Apple Watch Nike+ อย่างลงตัว และเข้าถึงได้ง่ายจากหน้าปัดนาฬิกา ดังนั้นผู้ใช้จึงใช้งานได้อย่างรวดเร็วโดยการแตะ แอพ Nike+ Run Club ซึ่งนำเสนอการกระตุ้นประจำวันผ่านการแจ้งเตือนให้วิ่งอัจฉริยะ การท้าทายจากเพื่อนๆ และแม้แต่การแจ้งเตือนเมื่อสภาพอากาศเหมาะกับการออกไปข้างนอก ข้อมูลการฝึกซ้อม รวมถึงจังหวะ ระยะทาง และอัตราการเต้นของหัวใจจะพร้อมใช้งานอย่างรวดเร็ว และด้วยการแชร์สรุปข้อมูลการวิ่ง แอพจะสนับสนุนการแข่งขันกระชับมิตร และยังให้ผู้ใช้ส่งกำปั้นชนกันได้โดยตรงจากข้อมือ
การวางจำหน่าย 
• Apple Watch Nike+ จะวางจำหน่ายในกรอบอะลูมิเนียมสองขนาดคือ 38 มม. และ 42 มม. จับคู่กับ Nike Sport Band ที่มีการผสมผสานของสี่สีพิเศษ ได้แก่ สีดำ/Volt, สีดำ/สีเทาโทนเย็น, สีเงิน/สีขาว และ สีเงิน/Volt
• Apple Watch Nike+ จะวางจำหน่ายขนาด 38 มม. และขนาด 42 มม. ผ่าน Apple.comNike.com, ร้าน Nike บางแห่ง, ตัวแทนจำหน่ายที่ได้รับอนุญาตของ Apple บางราย และร้านเฉพาะและห้างสรรพสินค้าบางแห่ง
• Apple Watch Nike+ จะพร้อมให้สั่งซื้อบน Apple.com ตั้งแต่วันศุกร์ที่ 9 กันยายน และวางจำหน่ายปลายเดือนตุลาคมในประเทศออสเตรเลีย, ออสเตรีย, เบลเยียม, แคนาดา, จีน, คอสฅาริก้า, เดนมาร์ก, ฟินแลนด์, ฝรั่งเศส, เยอรมนี, ฮ่องกง, อินเดีย, ไอร์แลนด์, อิสราเอล, อิตาลี, ญี่ปุ่น, ลักเซมเบิร์ก, เม็กซิโก, เนเธอร์แลนด์, นิวซีแลนด์, นอร์เวย์, โปแลนด์, โปรตุเกส, เปอร์โตริโก, สิงคโปร์, สเปน, สวีเดน, สวิสเซอร์แลนด์, ไต้หวัน, UAE, สหราชอาณาจักร และสหรัฐฯ
• Apple Watch Nike+ จะพร้อมให้สั่งซื้อบน Apple.com ตั้งแต่วันศุกร์ที่ 23 กันยายน และวางจำหน่ายปลายเดือนตุลาคมในประเทศสาธารณรัฐเช็ก, กรีก, ฮังการี, มาเก๊า, โปแลนด์, กาต้าร์, รัสเซีย และซาอุดิอาระเบีย
• Nike Sport Band จะวางจำหน่ายเฉพาะกับรุ่น Apple Watch Nike+ เท่านั้น และจะไม่วางจำหน่ายแยกต่างหาก
• Apple Watch Series 2 สามารถทำงานร่วมกับ iPhone 5 หรือใหม่กว่าที่ทำงานบน iOS 10 หรือใหม่กว่า watchOS 3 และ iOS 10 พร้อมให้อัพเดทซอฟต์แวร์ฟรีเริ่มวันพุธที่ 14 กันยายน (เวลาในประเทศไทย) คุณสมบัติบางอย่างไม่สามารถใช้ได้ในบางภูมิภาคหรือบางภาษา
*Apple Watch Series 2 มีระดับการกันน้ำที่ 50 เมตร ตามมาตรฐาน ISO 22810:2010 ซึ่งหมายความว่าสามารถสวมใส่นาฬิกาสำหรับกิจกรรมในน้ำตื้น เช่น การว่ายน้ำในสระหรือในทะเล อย่างไรก็ตาม ไม่สามารถใช้ Apple Watch Series 2 สำหรับการดำน้ำแบบสกูบา สกีน้ำ หรือกิจกรรมอื่นๆ ที่มีน้ำในอัตราความเร็วสูง หรือการอยู่ในน้ำที่ลึกกว่าระดับน้ำตื้น สายนาฬิกาแบบสแตนเลสสตีลและหนังไม่กันน้ำ
**ในประเทศส่วนใหญ่